เชื่อว่าหลายๆคนน่าจะมองข้ามในเรื่องของการ เลือกสายชาร์จ ประมาณว่าซื้อสายอะไรก็ได้มาใช้งานจนถึงขั้นบางคนซื้อสายที่ไม่มีคุณภาพราคาถูก 10 บาท 20 บาทมาใช้งาน ซึ่งสายชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานจะทำให้การจ่ายไฟนั้นไม่เสถียร และถ้าใครช่างสังเกตหน่อย เวลาเราไปจับสายชาร์จจะพบว่าเวลาที่ใช้งาน ตัวสายจะมีความร้อนปล่อยออกมาค่อนข้างสูง ใช้ได้ไม่นานสายนั้นก็มักจะพังอย่างรวดเร็ว
และรู้หรือไม่ว่า ความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้น เฉพาะแค่ตัวสายชาร์จเท่านั้นนะ ยังส่งผลกับสมาร์ทโฟนหรือแท็ปเล็ตที่เรานำไปชาร์จได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นการเลือกสายชาร์จจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ต้องใส่ใจในการเลือกซื้อมาใช้งาน และวิธีการเลือกซื้อสายชาร์จดีๆ ซักเส้น ต้องดูจากอะไรบ้าง ฉลาดเลือกมีคำตอบ
วัสดุ
วัสดุสายชาร์จที่เราพบเห็นกันมีหลักๆ 3 รูปแบบ
- ยาง PVC PVE ยอดนิยมที่สุด เบา พกพาง่าย ทนทานในระดับนึง
- สายถักเชือกไนลอน แข็งแรงสุดขาดยาก แต่ต้องระวังไม่ให้เปียกน้ำ
- สายโลหะ เน้นสวยงาม แข็งแรง แต่อาจจะไม่สะดวกพก และถ้าเกิดมีไฟรั่วอาจโดนดูดง่าย
ลักษณะของสายกลมกับสายแบน ต่างกันอย่างไร
สายกลม ข้อดีคือมีความยืดหยุ่นสูง ไม่จำกัดทิศทาง และองศาในการโค้งงอ แต่ม้วนเก็บแล้วพันกัน สายแบนข้อดีคือขาดยาก พันกันยากเหมาะสมกับการพกพา แต่ข้อเสียคือจะถูกจำกัดเรื่องทิศทาง และองศาในการโค้งงอ
ความยาว
ความยาวโดยมาก สายที่แถมมาในกล่องของสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตจะอยู่ที่ประมาณ 1 เมตร แต่ความยาวที่ขายในท้องตลาด ก็มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ 1 เมตร 2 เมตร 3 เมตร เหมาะสำหรับใช้งานบนเตียง ใช้งานบนรถ ขึ้นอยู่กับความต้องการ หรือบางแบรนด์ทำแบบสั้น ความยาว 10 เซนติเมตร 15 เซนติเมตรก็มี เพื่อใช้พกพาชาร์จกับพาวเวอร์แบงค์ ซึ่งขนาดของความยาวมีผลต่อการใช้งาน ถ้าสายชาร์จมีขนาดที่ยาวไปความเร็วในการชาร์จอาจจะมีตกลงบ้าง
แบรนด์
เลือกซื้อจากแบรนด์ ที่มีความน่าเชื่อถือ หรือเป็นแบรนด์ที่มีชื่อคุ้นหู ถ้าใครเป็นฝั่ง iPhone ดูง่ายที่สุด บริเวณกล่องมักจะมีโลโก้ MFI ง่ายๆ คือ Made for I device ส่วนเครื่องหมายอื่นๆก็คือ UL, IEC, FCC, CE และ RoHS เหล่านี้จะเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพ ของสายชาร์จที่เราจะซื้อ
ราคาที่เหมาะสมในการ เลือกสายชาร์จ
ราคาเป็นตัวกำหนดคุณภาพระดับหนึ่งเลย ถ้าเป็นสายดีๆ สักเส้นนึง จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง ในหลักหลายร้อยบาทจนถึงหลักพันบาท แต่ถ้าสายที่มีคุณภาพ ในระดับมาตรฐานใช้งานได้อย่างปลอดภัย ก็จะอยู่ที่หลัก 100-200 บาท ก็เริ่มมีให้เห็นแล้วในบางแบรนด์
โดยประสิทธิภาพในการใช้งาน สายชาร์จทั่วไปก็รองรับกำลังไฟอยู่ที่ 1 แอมป์ ถ้าชาร์จสมาร์ทโฟนจะต้องใช้เวลาชาร์จนานตั้งแต่ 3-5 ชั่วโมง จึงจำเป็นต้องซื้อสายชาร์จ ให้รองรับกำลังไฟสอดคล้อง กับตัวอแดปเตอร์ชาร์จด้วย ซึ่งจะมีส่วนช่วยในเรื่องความเร็วในการชาร์จ
อย่างเช่นถ้า เลือกสายชาร์จ ไปใช้งานกับ adapter 65W ขึ้นไป แนะนำให้เลือกสายไฟ ที่รองรับกำลังไฟ 3 แอมป์ขึ้นไป เพื่อการชาร์จเร็วอย่างเต็มประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น